วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

เบคอนสก๊อต ที่สุดแห่งเมืองจำลอง


 

เบคอนสก๊อต ที่สุดแห่งเมืองจำลอง

เบคอนสก๊อต เมืองจำลองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ครั้งนี้เราพาไปดูเมืองจำลองไกลถึงเมืองผู้ดี ประเทศอังกฤษ เบคอนสก๊อต (Bekonscot) เมืองจำลองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อยู่ในเขตบักกิ้งแฮมเชียร์ นับความเก่าแก่ ปีนี้ก็มีอายุถึง 79 ปี เมืองจำลองแห่งนี้มีจุดเริ่มต้นจากความชอบส่วนตัวในการจำลองสิ่งต่างๆ ในสวนของนาย Roland Callingham นักบัญชีจากลอนดอนจากที่เป็นเพียงงานอดิเรกเมื่อ 70 กว่าปีที่แล้วกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของชาวเมืองนี้ในปัจจุบันเลยทีเดียว…
การเดินทางจากลอนดอนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายโดยเฉพาะทางรถไฟ แค่เดินเพียง 5 นาทีจากสถานีรถไฟ Beaconsfield เราก็จะได้สัมผัสถึงความมหัศจรรย์กับสิ่งที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้นทั้งบ้านโบราณในชนบทของอังกฤษ สถานีรถไฟ สนามเด็กเล่น สนามฟุตบอล โบสถ์ วิหาร สะพาน และสถานที่สำคัญอื่นๆ ในขนาดจิ๋วทำให้เจ้าหนูตัวเล็กๆ กลายเป็นยักษ์ใหญ่ขึ้นมาทันตาเลยทีเดียว…
Beconscot
Beconscot
Beconscot
Beconscot
Beconscot
Beconscot
Beconscot
Beconscot
Beconscot
Beconscot
Beconscot
Beconscot เบคอนสก๊อต เมืองจำลองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
Beconscot
Beconscot
ที่มา http://travel.mthai.com/world-travel/13594.html

เมืองโบราณอาณาจักรพยู มรดกโลกแห่งแรกของพม่า

เมืองโบราณอาณาจักรพยู มรดกโลกแห่งแรกของพม่า

1403587543-img0685-o

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ มีการประกาศมรดกโลกแห่งใหม่ที่อยู่ในพม่า โดยถือเป็นมรดกโลกแห่งแรกที่อยู่ในพม่าอีกด้วย นั่นคือ กลุ่มเมืองโบราณอาณาจักรพยู (Pyu Ancient Cities) ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ซึ่งกลุ่มเมืองโบราณอาณาจักรพยู จะรวมไปถึงพื้นที่ของเมืองโบราณศรีเกษตร (Sri Ksetra) เปียทะโนมโย (Peikthanomyo) และหะลินยี (Halingyi) ที่สร้างขึ้นในยุคเดียวกัน ประมาณพุทธศตวรรษที่ 4
1403588319-bto4-o
“ชาวพยู” คือใคร?
ชาวพยู เป็นชนชาติที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนชาวพม่าดั้งเดิม แต่นักวิชาการบางท่านก็ว่า “ชาวพยู เป็นชาวพม่าแท้จริง100เปอร์เซนต์!” โดยอาชีพหลักของชาวพยู คือ การทำเกษตรกรรม ด้วยความที่ดินในบริเวณที่ชาวพยูตั้งถิ่นฐานอยู่นั้น มีลักษณะเป็นที่ราบสูง (คล้ายๆ ภาคอีสานบ้านเรา) ถึงแม้จะมีแม่น้ำไหลผ่าน แต่ในหน้าร้อน ก็แห้งเหือด แต่ชาวพยูก็มีความสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายได้ โดยการทำวิธีการผันน้ำ จากแม่น้ำอิรวดี และแม่น้ำสายรอง เข้ามาเป็นตัวช่วยในการทำเกษตรกรรม และยังมีการขุดคูคลองรอบๆ เมือง พร้อมอ่างเก็บน้ำ เพื่อไว้ใช้น้ำในยามหน้าแล้ง
557000007299301

เมื่อความเจริญของชาวพยูไม่หยุดลงเพียงเท่านี้ ชาวพยูได้เริ่มจับกลุ่มรวมกันสร้างอาณาจักรขนาดใหญ่ขึ้นมา มีชื่อว่า “อาณาจักรศรีเกษตร
1403590479-KKG121disp-o
ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ขนาดกว้างขวาง กินพื้นที่เกือบทั้งหมดของลุ่มน้ำอิรวดี โดยอาณาจักรศรีเกษตรนี้ ได้รับอิทธิพล ในเรื่องของภาษา ศิลปะ สถาปัตยกรรม และ พระพุทธศาสนาจากประเทศอินเดีย โดยศูนย์กลางหลักของอาณาจักรนี้ ตั้งอยู่ที่เมือง “ศรีเกษตร” ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับอาณาจักร แน่นอนว่า ศรีเกษตร ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกล่าสุด เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ร่องรอยอารยธรรมบริเวณใกล้เคียงศรีเกษตร อย่างเมืองเบคถาโน และเมืองฮาลิน ซึ่งทั้ง 3 เมือง ได้ถูกผนึกรวมกันแล้วขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งแรกของพม่า ในชื่อ เมืองโบราณอาณาจักรพยู (Pyu Acient Cities)
1403590094-87123418-o 1403588844-87123384-o
แต่ในปัจจุบันนี้ ทั้งศรีเกษตร เบคถาโน และ ฮาลิน แทบจะไม่หลงเหลือความยิ่งใหญ่ ในแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ มีเพียงซากปรักหักพัง ของโบราณสถาน เพราะยังไม่มีการจัดการที่ดีพอ สิ่งที่หลงเหลืออยู่ คือเจดีย์ ซากเมืองโบราณ คูน้ำ กำแพงเมือง ที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต แต่ปัจจุบันนี้ แหล่งโบราณคดีเมืองเก่าของชาวพยู คงจะได้รับการดูแลที่ดีขึ้น จาก Unesco และประเทศพม่าเอง เพราะต่อไปนี้ เมืองโบราณแห่งนี้ ไม่ได้เป็นสมบัติของพม่าประเทศเดียวแล้ว แต่นับต่อจากนี้ เมืองเก่านับพันปีแห่งนี้ จะเป็นสมบัติของคนทั้งโลก ที่ต้องช่วยกันดูแลรักษาสืบต่อไป
ที่มา http://travel.mthai.com/world-travel/87302.html

จางเจียเจี้ย หุบเขาแพนดอร่าแห่งอวตาร


หลังจางเจียเจี้ย หุบเขาแพนดอร่าแห่งอวตาร
จากภาพยนต์เรื่อง อวตาร (Avatar) ออกฉายเมื่อปี พ.ศ.2552 สมาชิก Travel MThai มิตรรักทั้งหลาย คงตื่นตากับสเปเชียล เอฟเฟค ขั้นเทพ เนรมิตรดาวแพนดอร่าได้ตื่นตา ตื่นใจคนดูเสียเหลือเกิน จนบางคนที่ได้ดูเบื้องหลังของการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ จึงได้รู้ว่า ดินแดนแห่งภูเขาลอยพื้นในภาพยนตร์ดังกล่าว นั้นมีจริงที่อุทยานแห่งชาติ จางเจียเจี้ย มณฑลหูหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
อวตาร จางเจียเจี้ยภูเขาลอยฟ้าบนดาวแพนดอร่า เป็นไอเดียมาจาก อุทยานแห่งชาติ จางเจียเจี้ย ของจีนเค้าล่ะ
อุทยานแห่งชาติ จางเจียเจี้ย เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของจีนมาตั้งแต่ปี 1992 เนื้อที่กว่า 9,500 ตารางกิโลเมตรของอุทยาน เต็มไปด้วยแท่งภูเขาหินทราย สูงขึ้นฟ้ามากกว่า 3,000 ยอด สะพานหินตามธรรมชาติ น้ำตก ถ้าใหญ่น้อยกว่า 40 แห่ง
จางเจียเจี้ย จีนอุทยานแห่งชาติ จางเจียเจี้ย เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของจีนมาตั้งแต่ปี 1992
จางเจียเจี้ย เป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของจีน ซึ่งลือชื่อด้วยทรัพยากรการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในเมืองจางเจียเจี้ย เป็นพื้นที่ป่าไม้ถึง 98% ซึ่งนับเป็นออกชิเจนทางธรรมชาติ และเนื่องจากเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลที่น้อยคนจะเดินทางไปถึง อีกทั้ง ชาวจางเจียเจี้ย ผู้ซึ่งรักในธรรมชาติ ได้ดำเนินนโยบายอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างมีประสิทธิผล เมืองจางเจียเจี้ยจึงประดุจดั่งดินแดนบริสุทธิ์ของโลก ณ ที่แห่งนี้ยังเป็นแหล่งชุมชนของ 33 ชนเผ่า เช่น ชนเผ่าถู่เจีย ชนเผ่าไป๋ และชนเผ่าเหมียว สภาพภูมิศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์ทำให้วัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี
จางเจียเจี้ย จีนขึ้นกระเช้าไปชมยอดเขาในดินแดนอวตารแห่ง จางเจียเจี้ย
หุบเขาสองฝั่งยืนคุมเชิงกันงามแปลกตายิ่ง ผาสีแดงกับต้นไม้เขียวขจีทอดเงากลับหัวอยู่ในน้ำ ขณะเดินตามทางเล็กๆ ที่อยู่บริเวณ สองข้างธารน้ำ ให้ความเย็นสบาย ซึมซาบเข้าไปในหัวใจตลอดการเหยียบย่างไปบนสะพานไม้ บันไดหิน ชมปลาหลากสีเล่นน้ำ นอกจากภูเขา สายน้ำ และพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์แล้ว ถ้ำในบริเวณ จางเจียเจี้ย มีจำนวนมาก และขนาดใหญ่ ต่างมีเอกลักษณ์ และชื่อเรียกต่างกัน เช่น ถ้ำหวงหลงหรือถ้ำมังกร เหลือง ถ้ำกวนอิม ถ้ำเสี่ยงสุ่ย เป็นต้น ในบรรดาถ้ำเหล่านี้ ถ้ำหวงหลงหรือถ้ำมังกรเหลืองในหุบเขาสั่วซีมีความยาว 7.5 กิโลเมตร โดยแบ่งเป็น 4 ชั้น ภายในถ้ำมีอ่างเก็บน้ำ แห่งหนึ่ง ธารน้ำสองสาย น้ำตกสามแห่ง สระน้ำ 4 แห่ง ห้องโถง 13 แห่งและมีระเบียง 96 สาย
จางเจียเจี้ย จีนจางเจียเจี้ย จีนคงไม่ต้องบินออกนอกโลก เพราะ แพนดอร่าอยู่บนโลกเราดีๆนี่เอง ยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ
จางเจียเจี้ย ยังคงรักษาความสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์วิทยาไว้เป็นอย่างดี ความหลากหลายทางภูมิประเทศของเขตธรรมชาติ แต่ละแห่งของจางเจียเจี้ยได้นำมาซึ่งความอุดม สมบูรณ์ด้วยพันธุ์พืช และสัตว์นานาชนิด สภาพภูมิอากาศชุ่มชื้นเหมาะสมกับการเจริญ เติบโตของพืชพันธุ์ นอกจากนั้น ยังเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์พืช และพันธุ์สัตว์ที่หายาก และใกล้สูญพันธุ์อีกด้วย
จางเจียเจี้ย จีน
ธารน้ำแส้ทอง หรือ จินเปียน ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งในวนอุทยานจางเจียเจี้ย โดยมีความยาวทั้งหมด 8 กิโลเมตร และมีขุนเขารูปลักษณ์ตระการตากว่า 400 ลูก ก้าวหนึ่งมีวิวหนึ่ง วิวหนึ่งมีภาพหนึ่ง เป็นภาพที่ไม่ซ้ำกัน เดินท่องไปตามริมธารน้ำแส้ทอง สัมผัสอากาศเย็นสบายสดชื่น ทำให้กระปี้กระเปร่า
จางเจียเจี้ย จีนน้ำบนลำธาร ที่ไหลจากยอดเขาสูง คงจะเย็นเจี๊ยบน่าดู
ธารน้ำแส้ทอง มีภูหินผาสูงจากพื้นกว่า 350 เมตร รูปลักษณ์ของหินผาลูกนี้เหมือนแส้ซึ่งเป็นอาวุธโบราณชนิดหนึ่ง จึงได้ชื่อว่า หินผาแส้ทอง เนื่องจากมีซิลิกอนไดอ็อกไซด์ ผสมอยู่ในเนื้อหิน เมื่อแสงแดดสาดส่อง จะมีแสงสะท้อนเป็นสีทอง
จางเจียเจี้ย จีนจางเจียเจี้ย จีน
ตามข้อมูลที่บันทึกไว้ บริเวณดังกล่าวเคยเป็นทะเลมาก่อน ต่อมา ด้วยอำนาจแสนวิเศษของธรรมชาติได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทางสภาพภูมิประเทศ ที่มีเสาหินทราย และยอดเขาประหลาดที่พบเห็นได้ยากมากในธรรมชาติ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ระหว่างกลางยอดเขาแห่งนี้ ยังมีลำธาร น้ำตก สระน้ำคดเคี้ยววกไปวนมาอยู่เบื้องล่างของ หุบเขา และหน้าผาที่สูงชันชะโงกเงื้อมสลับกันไปมา ก่อให้เกิดถ้ำต่างๆ กว่า 40 แห่ง และสะพานหินธรรมชาติขนาดใหญ่อีก 2 สะพาน กระจายอยู่ทั่วอาณาบริเวณกว่า 360 ตารางกิโลเมตร
จางเจียเจี้ย จีน
โดยมียอดเขาสูงเสียดฟ้า 3,103 ลูก ทั้งที่เป็นผาสูงชัน ยอดเขาสูง บางยอดเป็นที่ราบเรียบ ยอดเขาเหล่านี้ มีความสูงเฉลี่ย 500-1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ส่วนยอด เขาที่มีความสูงกว่า 400 เมตรขึ้นไป มีจำนวนกว่า 1,000 ลูกยอดเขาแหลมเล็กเหล่านี้ตั้งตระหง่านสลับซับซ้อนแผ่กระจายดั่งท้องทุ่งเสาหิน กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา รูปร่าง ของเสาหินทราย และยอดเขาบ้างก็มองดูคล้ายมนุษย์ บ้างก็คล้ายรูปสัตว์ บ้างก็เหมือนฉากกั้น บ้างก็เหมือนหน่อไม้ เพราะความประหลาดทางธรรมชาติเหล่านี้ เมื่อเหล่าจิตรกรจีนมาเห็นเข้า แล้วประทับใจในความงาม จึงนำไปสร้างสรรค์ในผลงานของตน
จางเจียเจี้ย จีนจางเจียเจี้ย จีนจางเจียเจี้ย จีนอยากสูดอากาศดีๆ ในบรรยากาศเย็นสดชื่น ยลโฉมยอดเขาประหลาดสูงเสียดฟ้า ต้องลองไปสัมผัส อุทยานแห่งชาติ จางเจียเจี้ย ดินแดนแพนดอร่า บนโลกมนุษย์กัน
ที่มา http://travel.mthai.com/world-travel/59620.html

เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ

เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ

เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ

จอร์แดน ถือเป็นประเทศศูนย์กลางแห่งมิตรภาพแห่งตะวันออกกลาง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สถานที่โมเสสเสียชีวิต และแหล่งอารยธรรมหัวเมืองเอกของอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่กว่า 2,000 ปีมาแล้ว
เมือง เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ เมืองที่ถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของผู้คนและสูญหายไปจากแผนที่นานนับพันปี ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขาที่สูงชันประดุจเป็นปราการอันยิ่งใหญ่
เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ
เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ
เมื่อลัดเลาะไปตามพื้นหินและทรายกว่า 800 เมตร ที่จะมุ่งหน้าไปในเส้นทางมหัศจรรย์ที่ทางเข้าออกของเมืองเพตรา คือ บริเวณซอกเขาเรียกว่า ซิค (Siq) เป็นหุบเขาสูง 250 ฟุต และทอดคดเคี้ยวไปบนเส้นทางที่พาดผ่านเข้าไปถึงใจกลางเมือง เกิดจากการถูกน้ำซัดกัดกร่อนจนเกิดเป็นช่องทางเดินเล็กๆ ระหว่างหุบเขา ความสวยงามของหุบเขาทั้งสองด้าน สวยงามด้วยสีสันของหินสีต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ชมร่องรอยซากปรักหักพังที่ยังมีร่องรอยให้เห็นการจัดการเรื่องการชลประทานใน การลำเลียงน้ำจากแหล่งน้ำภูเขาเข้าสู่ตัวเมืองได้อย่างน่าทึ่ง และยังมีภาพศิลปะแกะสลักจากภูเขาอีกมากมาย
เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ

จากนั้นเข้าเขตหน้าผาสูงชันสองข้างทางสู่มหานครแห่งศิลาทรายสีชมพูตื่นตา ตื่นใจกับความสวยงามของมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ปราสาททรายสีชมพู ที่นี่เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “อินเดียน่า โจนส์” ภาค 3 ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า มหาวิหารแกะสลักเสลาจากภูเขาอย่างกลมกลืนได้สัดส่วนและสวยงามน่าอัศจรรย์ เป็นอาคาร 2 ชั้น ประดับ ด้วยเสาแบบคอรินเทียนส์และรูปคน ซึ่งสลักขึ้นจากเขาบริเวณกลางเมือง ว่ากันว่าเป็นคลังที่เก็บสมบัติของฟาโรห์
               เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ        เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ
เพตรา เคยเป็นเมืองหลวงของพวก นาเบเธียนมา ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล ทำเลที่ตั้งของเมืองอยู่กึ่งกลางของเส้นทางการค้าคาบสมุทรอาระเบีย-ลุ่มแม่ น้ำไนล์ และปาเลสไตน์-ลุ่ม แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสเลยไปจนถึงอินเดีย จึงทำให้เป็นเมืองศูนย์กลางเส้นทางการค้าทางบกอีกด้วย
เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ
ด้วยเหตุนี้ชาวโรมันจึงได้เข้ามายึดครอง จนกระทั่งในปี 363 ได้เกิดแผ่นดินไหวบ้านเรือนภายในเมืองพังทลายลงมาประกอบกับมีการเปิดเส้นทาง การค้าทางทะเลที่อ่าวสุเอช ชาวเมืองจึงพากันละทิ้งเมืองไปอยู่ที่อื่น เพตรากลายเป็นเมืองร้างไปในที่สุด
เพตรา นครศิลาสีกุหลาบ

เมื่อเวลาผ่านไป ทรายได้ปลิวมาปกคลุมเมืองทั้งเมือง จนหายไปจากแผนที่นานกว่าพันปี แต่ในที่สุดปี 1813จอห์น เลวิช เบอร์คฮาร์ดท์ นักเดินทางชาวสวิสได้มาพบนครแห่งนี้ จึงเริ่มปรากฏแก่สายตาชาวโลกอีกครั้งและในปี 1985 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้ เพตรา เป็นเมืองมรดกโลก
ที่มา http://travel.mthai.com/world-travel/3550.html